Why Handmade Soap? ทำไมถึงต้องใช้สบู่ทำมือ
หลายคนมีคำถามนี้ แล้วถ้าไปซื้อสบู่ที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไปไม่ง่ายกว่ารึ? ราคาก็ถูกกว่าด้วย
สบู่ทั่วๆไปหรือสบู่โรงงานประกอบไปด้วยสารเคมีจำพวกSodium Lauryl Sulfate หรือ Sodium Laureth sulfate สารชะล้าง(Detergents)ดังกล่าวนี้ในต่างประเทศหลายประเทศสั่งยกเลิกการใช้ไปแล้ว เพราะมีรายงานว่าเป็นสารก่อมะเร็ง (carcinogen)
สบู่ตามท้องตลาดบางยี่ห้อฟอกหลายครั้งไม่สะอาด บางยี่ห้อฟองท่วมท้นฟอกแค่ครั้งเดียวสะอาดเอี๊ยด แต่ผิวจะแห้ง ตึง คัน จนถึงขั้นนำไปสู่โรคผิวหนัง สารชะล้างดังกล่าวเป็นสารสังเคราะห์ชนิดเดียวกับที่ใช้ผลิตน้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า สบู่เหลว และยังรวมไปถึงยาสีฟันด้วย
หรือสบู่บางชนิดทำจากเบสสบู่ คือสบู่ที่เหลือจากการสกัดเอากลีเซอรีนออกไปเหลือเพียงเกลือสบู่แล้วเติมสารชะล้างเพื่อให้เกิดฟอง นอกจากนี้แล้วสบู่ก้อนในท้องตลาดยังเข้มข้นไปด้วยสีสังเคราะห์และหัวน้ำหอมสังเคราะห์ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย
สบู่ทำมือเป็นสบู่แท้จึงอ่อนโยนต่อผิวแต่สามารถชำระล้างคราบไคลและไขมันได้หมดจดแต่ยังคงความชุ่มชื้นนุ่มนวลให้แก่ผิว
ถึงแม้ว่าสบู่โรงงานบางยี่ห้อมีการเติมวัตถุดิบธรรมชาติลงไปแต่ก็ในปริมาณที่น้อยมาก ทั้งนี้ก็เพื่อดึงดูดใจผู้ใช้เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ยังคงเป็นสารสังเคราะห์จำพวก SLS
การใช้สบู่ตามท้องตลาดทั่วไปนานๆอาจทำให้ผิวแห้ง หรือผิวมันจนรู้สึกว่าฟอกสบู่กี่ครั้งๆก็ไม่สะอาด แต่สำหรับสบู่ธรรมชาติ(ทำมือ)ซึ่งผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติสามารถเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผิวสะอาดจนคุณต้องประหลาดใจในความแตกต่าง!
สบู่ทำมือเป็นสิ่งที่ใช้ทำความสะอาด ผลิตจากวัตถุดิบพื้นๆแต่เป็นมิตรต่อผิว
สบู่ทำมือเกิดจากกระบวนการรวมตัวกันของน้ำมันหรือไขมันกับน้ำด่าง(โซดาไฟ+น้ำ) จนได้เกลือสบู่และกลีเซอรีน หลายคนอาจมีคำถามเรื่องของการใช้ด่างจากโซดาไฟมาทำสบู่ว่าจะปลอดภัยพอที่จะเอามาใช้ฟอกหน้า ฟอกตัวได้หรือ? ความจริงคือสบู่ก้อนทุกชนิดต้องใช้โซดาไฟในกระบวนการผลิตทั้งนั้น
ขอชี้แจงกันให้เคลียร์ตรงนี้เลยว่า เมื่อปฏิกิริยาระหว่างน้ำมันและน้ำด่างเกิดขึ้นครบสมบูรณ์แล้ว โมเลกุลของน้ำมันและน้ำด่าง จะรวมตัวกัน(saponification)จนขั้นตอนสุดท้ายเกิดเป็นสบู่และกลีเซอรีน ดังนั้นจึงไม่มีโซดาไฟหลงเหลืออยู่ในสบู่อีกต่อไป
นักทำสบู่จะคำนวนปริมาณของโซดาไฟที่จะใช้สำหรับน้ำมัน/ไขมันแต่ละชนิดอย่างถูกต้องแม่นยำในทุกๆสูตรของการทำสบู่ ถ้าใช้โซดาไฟมากเกินสบู่จะแข็งเปราะตัดแล้วแตกเสียหาย แต่ถ้าใช้น้อยเกินสบู่ก็จะอ่อนนิ่มตัดแล้วเละ เสียรูปทรง และนักทำสบู่จะคำนวนให้มีน้ำมันเหลืออยู่ในเนื้อสบู่มากกว่า 5 % ขึ้นไปทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อผิวและเพื่อให้น้ำมันที่เหลือเป็นตัวเคลือบผิว
และหลังจากตัดสบู่แล้วยังต้องผึ่งสบู่ไว้อีก 3-4 สัปดาห์เพื่อให้กระบวนการ saponification ที่ยังเกิดต่อเนื่องได้ทำปฏิกิริยาต่อไปจนกระทั่งความเป็นด่างของสบู่ลดลงจนถึงจุดปลอดภัย(นักทำสบู่ต้องtestค่าความเป็นด่างก่อนนำสบู่ไปใช้หรือจำหน่าย)
นอกจากนี้แล้วสบู่ทำมือยังสามารถเติมสมุนไพรต่างๆเพื่อการปรนนิบัติผิวได้อีก
สบู่ทั่วๆไปหรือสบู่โรงงานประกอบไปด้วยสารเคมีจำพวกSodium Lauryl Sulfate หรือ Sodium Laureth sulfate สารชะล้าง(Detergents)ดังกล่าวนี้ในต่างประเทศหลายประเทศสั่งยกเลิกการใช้ไปแล้ว เพราะมีรายงานว่าเป็นสารก่อมะเร็ง (carcinogen)
สบู่ตามท้องตลาดบางยี่ห้อฟอกหลายครั้งไม่สะอาด บางยี่ห้อฟองท่วมท้นฟอกแค่ครั้งเดียวสะอาดเอี๊ยด แต่ผิวจะแห้ง ตึง คัน จนถึงขั้นนำไปสู่โรคผิวหนัง สารชะล้างดังกล่าวเป็นสารสังเคราะห์ชนิดเดียวกับที่ใช้ผลิตน้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า สบู่เหลว และยังรวมไปถึงยาสีฟันด้วย
หรือสบู่บางชนิดทำจากเบสสบู่ คือสบู่ที่เหลือจากการสกัดเอากลีเซอรีนออกไปเหลือเพียงเกลือสบู่แล้วเติมสารชะล้างเพื่อให้เกิดฟอง นอกจากนี้แล้วสบู่ก้อนในท้องตลาดยังเข้มข้นไปด้วยสีสังเคราะห์และหัวน้ำหอมสังเคราะห์ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย
สบู่ทำมือเป็นสบู่แท้จึงอ่อนโยนต่อผิวแต่สามารถชำระล้างคราบไคลและไขมันได้หมดจดแต่ยังคงความชุ่มชื้นนุ่มนวลให้แก่ผิว
ถึงแม้ว่าสบู่โรงงานบางยี่ห้อมีการเติมวัตถุดิบธรรมชาติลงไปแต่ก็ในปริมาณที่น้อยมาก ทั้งนี้ก็เพื่อดึงดูดใจผู้ใช้เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ยังคงเป็นสารสังเคราะห์จำพวก SLS
การใช้สบู่ตามท้องตลาดทั่วไปนานๆอาจทำให้ผิวแห้ง หรือผิวมันจนรู้สึกว่าฟอกสบู่กี่ครั้งๆก็ไม่สะอาด แต่สำหรับสบู่ธรรมชาติ(ทำมือ)ซึ่งผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติสามารถเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผิวสะอาดจนคุณต้องประหลาดใจในความแตกต่าง!
สบู่ทำมือเป็นสิ่งที่ใช้ทำความสะอาด ผลิตจากวัตถุดิบพื้นๆแต่เป็นมิตรต่อผิว
สบู่ทำมือเกิดจากกระบวนการรวมตัวกันของน้ำมันหรือไขมันกับน้ำด่าง(โซดาไฟ+น้ำ) จนได้เกลือสบู่และกลีเซอรีน หลายคนอาจมีคำถามเรื่องของการใช้ด่างจากโซดาไฟมาทำสบู่ว่าจะปลอดภัยพอที่จะเอามาใช้ฟอกหน้า ฟอกตัวได้หรือ? ความจริงคือสบู่ก้อนทุกชนิดต้องใช้โซดาไฟในกระบวนการผลิตทั้งนั้น
ขอชี้แจงกันให้เคลียร์ตรงนี้เลยว่า เมื่อปฏิกิริยาระหว่างน้ำมันและน้ำด่างเกิดขึ้นครบสมบูรณ์แล้ว โมเลกุลของน้ำมันและน้ำด่าง จะรวมตัวกัน(saponification)จนขั้นตอนสุดท้ายเกิดเป็นสบู่และกลีเซอรีน ดังนั้นจึงไม่มีโซดาไฟหลงเหลืออยู่ในสบู่อีกต่อไป
นักทำสบู่จะคำนวนปริมาณของโซดาไฟที่จะใช้สำหรับน้ำมัน/ไขมันแต่ละชนิดอย่างถูกต้องแม่นยำในทุกๆสูตรของการทำสบู่ ถ้าใช้โซดาไฟมากเกินสบู่จะแข็งเปราะตัดแล้วแตกเสียหาย แต่ถ้าใช้น้อยเกินสบู่ก็จะอ่อนนิ่มตัดแล้วเละ เสียรูปทรง และนักทำสบู่จะคำนวนให้มีน้ำมันเหลืออยู่ในเนื้อสบู่มากกว่า 5 % ขึ้นไปทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อผิวและเพื่อให้น้ำมันที่เหลือเป็นตัวเคลือบผิว
และหลังจากตัดสบู่แล้วยังต้องผึ่งสบู่ไว้อีก 3-4 สัปดาห์เพื่อให้กระบวนการ saponification ที่ยังเกิดต่อเนื่องได้ทำปฏิกิริยาต่อไปจนกระทั่งความเป็นด่างของสบู่ลดลงจนถึงจุดปลอดภัย(นักทำสบู่ต้องtestค่าความเป็นด่างก่อนนำสบู่ไปใช้หรือจำหน่าย)
นอกจากนี้แล้วสบู่ทำมือยังสามารถเติมสมุนไพรต่างๆเพื่อการปรนนิบัติผิวได้อีก
Comments
Post a Comment